การออกฤทธิ์ของกัญชา
หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่มีการเดินหน้าทางด้านกัญชาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านตำรับแผนไทยและของอาจารย์เดชาเอง ทั้งยังทั่วทั้งโลกก็มีความสนใจในเรื่องนี้และทำให้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ความแตกต่างในความคิดเห็น
เปลี่ยนเป็นหมอยังไม่มีความรู้ทางด้านกัญชา แต่คนไข้ใช้กันเยอะแล้ว โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง หนักกว่าคือคนไข้ไม่กล้าบอกหมอ ถ้าไม่ถามโดยตรงจะไม่บอกเพราะกลัวโดนหมอดุ ก็แปลงเป็นว่าใช้ไปโดยที่หมอเจ้าของไข้ไม่ได้รู้ เช่นในโรงพยาบาลที่ลูกชายหมอทำงานอยู่ คนไข้มะเร็งขั้นสุดท้ายนั้นได้เผ่านานอนโรงพยาบาลอีกรอบหลังจากเผ่านาติดๆ กันหลายครั้ง เพราะใช้มอร์ฟีนในขนาดที่น่าสะดุ้งเพื่อให้บรรเทาอาการปวด จึงไม่สามารถถ่ายได้เพราะมอร์ฟีนไปหยุดการขยับเขยื้อนของลำไส้ อุจจาระเต็มท้องและปวดท้องเพิ่มมากขึ้น
ลูกชายหมอจึงถามว่าเคยใช้กัญชาไหม ถึงได้คำตอบว่าคาสิโนออนไลน์ใช้มานานแล้ว แต่ไม่เคยบอกหมอ จากนั้นสิ่งที่สำคัญการซักประวัติ เช่น ต้องถามว่าใช้เป็นกัญชาอะไร (สกัดรวม, THC CBD แบบเดี่ยวหรือรวม, หรือครึ่งต่อครึ่ง) และใช้เท่าไหร่ คนไข้รายนี้ใช้สกัดรวม เข้มข้น 3 หยด ก่อนนอนเพราะช่วยบรรเทาเจ็บและทำให้หลับได้สบายขึ้น
แต่ช่วงเช้าก็จะปวดอีกเพราะใช้แค่ก่อนนอน หมอจึงแนะนำเปลี่ยนการใช้เป็น 1 หยดเช้า 3 หยดเย็น ถ้าไม่ง่วงไม่มึนเมา ก็เพิ่มเป็น 1 เช้า 1 เที่ยง 3 เย็น รวมทั้งเพิ่มไปได้เรื่อยๆ ถ้าผลข้างเคียงไม่มากเกินไป
ผลคือ โดนหยุดการใช้หลังจากจดลงไปในประวัติเพราะเป็นเรื่องห้ามการใช้เพื่อให้ความปลอดภัยของคนไข้ และอีกไม่นานก็มีหมอท่านอื่นที่ยังไม่คุ้นกับการใช้กัญชา บอกคนไข้ว่าอย่าใช้เลยลูกหมอจึงได้แต่เงียบ
การที่สังคมเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วแต่แพทย์ยังต่อต้าน ปัญหาอาจจะอยู่ที่กัญชาเป็นน้ำมันสกัด แล้วไม่คุ้น จึงไม่อยากใช้หรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เดี๋ยวก็มีเป็นแบบเม็ดออกมา หรือเพราะว่าได้รับการสั่งสอนมาตลอดว่ามันเป็นยาเสพติดแล้วไม่ดี หรือว่าขาดความรู้จึงต่อต้าน
หมอจึงพยายามให้ความรู้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งคนไข้ การตอบรับของพยาบาลนั้นดีมากเพราะความคิดว่ามีเป็นยาที่ปลอดภัย แต่การตอบรับในหมู่แพทย์นั้น บ้างก็ว่าไม่สมควร บ้างก็ว่าให้ได้หรือ
ในความเห็นของหมอ ถ้าเราทำเพื่อให้คนไข้ เพื่อให้จุดประสงค์ที่จะให้คนไข้ดีขึ้น โดยที่ถึงจุดนั้นได้อย่างปลอดภัย อย่างน้อยบรรเทาอาการเจ็บในคนไข้ที่กินยาแก้ปวดอยู่แล้วไม่รู้กี่ตัว ควรเป็นหน้าที่ ของเราในSystemสาธารณสุขครับ ขอให้คิดว่ามันคือยาอีกตัวหนึ่ง ก็จะทำให้สามารถ แนะนำคนไข้ให้ใช้ ได้อย่างชาญฉลาด
กล่าวคือการเข้าใจโรคว่าโรคที่รักษานั้นๆเกิดขึ้นจากอะไร (pathophysio– logy) และเข้าใจว่ากัญชาออกฤทธิ์อย่างไรคอยสอดส่องผลข้างเคียง การตีกับยาอื่นที่ใช้อยู่ก็ไม่น่าจะยากเกินทักษะ กัญชาจริงๆแล้วได้ถูกใช้ทางการแพทย์มาเกือบ 200 ปีแล้ว ในการรักษาลมชัก แก้ปวดจากโรคไขข้อ และปวดเส้นประสาท ในการแก้ปวด กลไกการแก้ปวดของมันเกิดขึ้นได้จากการออกฤทธิ์ที่ตัวรับสัญญาณในสมอง ไขสันหลัง และในร่างกาย ควบคู่ไปด้วยกัน คอยทำงานผ่านตัวรับสัญญาณ CB ซึ่งเป็นจำพวก G-protein coupled receptor
และตัวรับสัญญาณอื่นๆ อย่างมาก และทั้งนี้เป็นกัญชาที่ผลิตในร่างกายของบาคาร่าตนเองที่ได้รับการกระตุ้นเตือนจากกัญชาภายนอกที่เป็นตัวออกฤทธิ์ที่สำคัญ
ในเรื่องของโรคสมองนั้น วิธีรักษาหยุดอยู่กับที่มานานมากแล้ว มีแต่การรักษาบรรเทาอาการ ไม่ได้ช่วยในการหยุดยั้งโรคอะไร ยาต่างๆที่ออกมาก็แค่ทำให้สบายขึ้นก่อนจะตาย กัญชาจึงเป็นที่สนใจของหมอสมองอย่างมากหลังจากได้รับการรับรองเรื่องความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการรักษาอาการแข็งเกร็งในโรคปลอกประสาทอักเสบ (multiple sclerosis) กับโรคลมชักร้ายแรงดื้อยาทุกชนิดในเด็ก (Dravet และ Lennox-Gastaut Syndromes) แต่ก็ใช้ได้ในโรคกลุ่มอื่นและอาจจะใช้ในโรคสมองอื่นๆที่ขยายขอบเขตไปอีกด้วย
บทความนี้จะเล่าถึงกัญชากับโรคทางสมองห้าโรคที่ไม่มีวิธีรักษา กับสารกัญชาหลายต่อหลายชนิด (THC, CBD, THCA, CBDA and terpenoids) ซึ่งออกฤทธิ์กับSystemกัญชาในร่างกาย (endocannabinoid mechanism) ผ่านตัวรับสัญญาณต่างๆ เช่น THC ออกฤทธิ์กับ CB1 และ CB2 จากนั้น THCA ออกฤทธิ์กับ PPAR-gamma และ CBD กับ CBDA ออกฤทธิ์กับตัวรับสัญญาณ Serotonin (5-HT1A)
ส่วนในร่างกายเราเองนั้นมีSystemกัญชาอยู่แล้วไม่ได้เป็นของใหม่ ความเก่งกาจของSystemนี้คือมันสามารถสั่งการได้ทั้งส่งสัญญาณไปปลายทาง (anterograde) และส่งสัญญาณกลับไปยังต้นทาง (retrograde) เพื่อให้ที่จะปรับเปลี่ยนสมดุลSystemกัญชาในร่างกาย (feed– back mechanism)
แต่เราก็เชื่อว่าเมื่อมีการกระทบกระเทือนในSystemไม่ว่าจะเป็นจากสารเคมี หรือจากการกระทบกระทั่งนั้น จะทำให้Systemกัญชาใน ร่างกายและในสมองไม่สมดุลและจึงเป็นที่มาของการใช้กัญชาเพื่อให้ไปปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งSystemนี้ก็ไม่ได้ใช้สารกัญชาสกัดตัวเดี่ยวๆ
แต่ใช้สารหลายต่อหลายชนิดที่พบในกัญชามาปรับเปลี่ยนควบคุมสมดุลที่น่าสนใจคือถ้าใช้แบบรวมไม่ได้สกัดแยกเป็นตัวๆจะดีมากกว่า เก่งกว่า ในโรคหลายๆ โรค โดยเฉพาะโรคทางสมอง เพราะโรคทางสมองนั้นมีความซับซ้อนมาก และแต่ละสารเมื่อใช้รวมๆกันเริ่มพบว่ามีฤทธิ์ในการเกื้อกูลกัน (synergistic effect) โดยการออกฤทธิ์ในหลายSystemพร้อมๆกัน
ขณะนี้ความรู้ยังจำกัดเพราะเป็นของใหม่ แต่ในอนาคตถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้มากขึ้น ไม่แน่อาจจะมีโอกาสที่จะพลิกโฉมการวิจัย การรักษาsagamingในโรคทางสมองเลยก็ได้ และอาจจะสามารถใช้ในการป้องกันหลายต่อหลายโรคก่อนจะเกิดโดยเฉพาะโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษาได้อีกด้วย.
อ่านรายงานพิเศษชุด “เจาะลึกปรากฏการณ์กัญชาฟีเวอร์”